ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 พบว่า สหกรณ์มีจำนวนทั้งสิ้น 10,790 แห่ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.59 จากไตรมาสที่ 2 แบ่งเป็นสหกรณ์จำนวน 6,605 แห่ง และกลุ่มเกษตรกรจำนวน 4,185 แห่ง ประกอบด้วยสมาชิกทั้งสิ้น 11.73 ล้านคน มีทุนดำเนินงานรวมเท่ากับ 1.76 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.56 จากไตรมาสที่ 2 มูลค่าธุรกิจรวม 2.22 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.14 จากไตรมาสที่ 2 ผลการดำเนินงานมีผลกำไรสุทธิ 0.06 ล้านล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.40
ปริมาณธุรกิจของภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสที่ 3/2555
การดำเนินธุรกิจของภาคสหกรณ์ในภาพรวมพบว่า ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงสุดได้แก่ ธุรกิจการให้เงินกู้ รองลงมาธุรกิจการรับฝากเงิน ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล ธุรกิจการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย และธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร ตามลำดับ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ธุรกิจการให้เงินกู้ยืม (สินเชื่อ) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.50 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.21 จากไตรมาสที่ 2 โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีปริมาณการให้สินเชื่อสูงสุดเท่ากับ 1.10 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 73.19 ของจำนวนเงินให้สินเชื่อทั้งระบบ (เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ถึงร้อยละ 71.85)สหกรณ์ภาคการเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 0.40 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.70 และกลุ่มเกษตรกร 1.62 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.11 ตามลำดับ
ธุรกิจการรับฝากเงิน การรับฝากเงินของภาคสหกรณ์ทั้งระบบมีมูลค่าทั้งสิ้น 0.50 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.23 ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.14 โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีปริมาณสูงสุดเท่ากับ 0.42 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.04 ของเงินฝากทั้งระบบ สหกรณ์ภาคการเกษตรมียอดเงินรับฝาก 0.07 ล้านล้านบาท ร้อยละ 13.89 และกลุ่มเกษตรกร 0.33 พันล้านบาท ร้อยละ 0.07 ของตามลำดับ
ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล มีมูลค่ารวมเท่ากับ 1.41 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.77 จากไตรมาสที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 6.36 ของมูลค่าธุรกิจทั้งสิ้น
ธุรกิจการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย มูลค่าสินค้าที่จัดหามาจำหน่ายให้สมาชิกของภาคสหกรณ์ไทยเท่ากับ 7.40 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.38 จากไตรมาสที่ 2 โดยสหกรณ์ภาคการเกษตรมียอดการจำหน่ายสูงสุด 6.22 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 84.12 ของยอดรวมทั้งสิ้น
ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร มีมูลค่ารวมเท่ากับ 1.62 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.62 จากไตรมาสที่ 2
หากพิจารณารายภาคธุรกิจสรุปเป็นดังนี้
สหกรณ์ภาคการเกษตร มีมูลค่าธุรกิจรวมเท่ากับ 0.66 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส ที่ 2 ร้อยละ 1.41 โดยคิดเป็นร้อยละ 29.77 ของปริมาณธุรกิจทั้งสิ้น ประกอบด้วยการให้เงินกู้จำนวน 0.40 ล้านล้านบาท การรวบรวม/แปรรูปผลิตผลจำนวน 0.13 ล้านล้านบาท การรับฝากเงิน 0.07 ล้านล้านบาท และการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 0.06 ล้านล้านบาท ตามลำดับ
สหกรณ์นอกภาคการเกษตร มีมูลค่าธุรกิจรวมเท่ากับ 1.54 ล้านล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.40 คิดเป็นร้อยละ 69.59 ของปริมาณธุรกิจทั้งสิ้น โดยมีธุรกิจเงินให้กู้เป็นธุรกิจ ที่ได้รับการตอบรับมากที่สุดจากสมาชิก 1.10 ล้านล้านบาท รองลงมาได้แก่ธุรกิจการรับฝากเงิน 0.43 ล้านล้านบาท และธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 0.01 แสนล้านบาท ตามลำดับ
กลุ่มเกษตรกร มีมูลค่าธุรกิจรวม 1.41 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 1.47 โดยคิดเป็นร้อยละ 0.64 ของปริมาณธุรกิจทั้งสิ้น ธุรกิจที่มีปริมาณมากที่สุดคือ ธุรกิจการรวบรวมและแปรรูปผลิตผล 1.06 หมื่นล้านบาท รองลงมาได้แก่ ธุรกิจการให้เงินกู้ 1.62 พันล้านบาท
ผลการดำเนินงานของภาคสหกรณ์ไทย ผลการดำเนินงานของภาคสหกรณ์ไทย ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 มีรายได้รวมเท่ากับ 3.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.31 ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 2.69 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.66 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิจำนวน 5.53 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.40 จากไตรมาสที่ 2
สหกรณ์ภาคการเกษตร สามารถสร้างรายได้รวมได้มากที่สุดทั้งสิ้น 2.09 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.04 จากไตรมาสที่ 2 โดยคิดเป็นร้อยละ 64.39 ของรายได้รวมทั้งสิ้น มีค่าใช้จ่ายรวม 2.04 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.07 และมีกำไรสุทธิ 4.83 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.64 จากไตรมาสที่ 2
สหกรณ์นอกภาคการเกษตร สร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 1.03 แสนล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.08 จากไตรมาสที่ 2 โดยคิดเป็นร้อยละ 31.60 ของรายได้รวมทั้งสิ้น มีค่าใช้จ่ายรวม 5.24 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.34 และกำไรสุทธิ 5.03 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.51 จากไตรมาสที่ 2
กลุ่มเกษตรกร สร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 1.30 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.71 จากไตรมาสที่ 2 โดยคิดเป็นร้อยละ 4.01 ของรายได้รวมทั้งสิ้น มีค่าใช้จ่ายรวม 1.29 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.65 และกำไรสุทธิ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.98 จากไตรมาสที่ 2
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ภาคสหกรณ์ไทยมีความสามารถในการบริหารจัดการได้ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 2 การดำเนินงานพบว่า รายได้ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 จำนวน 4.19 พันล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มขึ้นตามมาด้วยในอัตราที่มากกว่าส่งผลให้กำไรที่ได้รับลดลงจากไตรมาสที่ 2 จำนวน 2.20 ร้อยล้านบาท ดังนั้นสหกรณ์ควรที่จะหามาตรการในการลดหรือประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นบางตัวลงเพื่อคงสภาพที่ดีของสหกรณ์ สามารถสร้างกำไรได้ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ภาคสหกรณ์มีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
|