ในเช้าวันหนึ่ง ถ้าท่านหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านแล้วพบกับข้อความดังต่อไปนี้
" ... ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ( Consumer Confidence Index : CCI ) ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 77.1 ในเดือนพฤษภาคม 2555 เป็น 78.6 ในเดือนมิถุนายน 2555
(ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย)
บางท่านอาจจะอ่านแล้วอ่านเลยไม่นึกสงสัยอะไรในขณะที่บางท่านเป็นคนขี้สงสัยพอได้อ่านแล้วบังเกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีเลยว่า เจ้า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หรือ CCI ที่เขาว่ามานั้นมันคืออะไรกันแน่ แล้วระดับ 77.1 หรือ 78.6 นั้นมันมากหรือน้อยแค่ไหน ผมจึงขอถือโอกาสนี้รับหน้าที่หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มารับใช้ท่านผู้อ่านครับ
ผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่ากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ของเราก็มีการจัดทำดัชนีที่มีลักษณะคล้าย ๆ ของเขาเหมือนกันครับ เมื่อท่านใช้บริการเวปไซต์กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ขอให้สังเกตเมนูหรือ แบนเนอร์ที่เขียนว่า แบบสอบถามความเชื่อมั่นของสหกรณ์
แบบสอบถามนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการเงินสหกรณ์แห่งชาติ (NCEFIC) โดยจะถูกส่งให้สหกรณ์ทั่วประเทศที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไข จำนวน 200 สหกรณ์ (Top 200) กรอกข้อมูลซึ่งเป็นความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น น้ำมันแพง สินค้าแพง ค่าแรงขึ้น ภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ฯลฯ ที่จะมีต่อผลการดำเนินงานหรือสภาวะเศรษฐกิจของภาคินค้าแพง ฯลฯ ที่มีต่อการดำเนินงานของสหกรณ์ น้มันแพง ค่าแรงขึ้น่อนไขจำนวน 200 สหกรณ์ กรอกข้อมูลซึ่งเป็นความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาวสหกรณ์ในไตรมาสนั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ด้าน แล้วแต่ว่าจะเป็นสหกรณ์ในภาคการเกษตรหรือนอกภาคการเกษตร ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจ สภาพคล่องทางการเงินของสหกรณ์ อำนาจซื้อในธุรกิจจัดหา/การจ่ายคืนเงินกู้ในธุรกิจสินเชื่อ ความสามารถในการแข่งขันกับธุรกิจอื่น การลงทุนโดยรวม และต้นทุนการประกอบการ โดยสหกรณ์แต่ละแห่งจะให้คะแนนในแบบสอบถามแต่ละข้อระหว่าง 0.0 (น้อยที่สุด) 1.0 (มากที่สุด) หลังจากนั้นโปรแกรมจะคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละออกมาซึ่งก็คือ ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจสหกรณ์ นั่นเองครับ และดัชนีดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ต้องรายงานผ่านทางเวปไซต์ของ NCEFIC ทุกไตรมาสครับ
จากข้อมูลล่าสุด พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจภาคสหกรณ์ในเดือนเมษายน 2555 เท่ากับ 66.47 ซึ่งถ้าเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานแล้วพบว่าจัดอยู่ในระดับดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาครับ
ความสำคัญของดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจ
หลังจากที่เรารู้ที่ไปที่มาของตัวดัชนีดังกล่าวแล้ว ต่อไปเราจะมาดูว่าเจ้าดัชนีนี่นี้ ( ใครครอง? ) มีความสำคัญอย่างไรต่อตัวเรา ต่อสหกรณ์ และต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมครับ ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นความเชื่อมั่นของผู้คนเป็นเรื่องสำคัญมากครับ ลองมองที่ตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าเราไม่มั่นใจว่าเราจะมีเงิน หรือมีรายได้มากพอ เราอยากจะใช้จ่ายไหมครับ เราคงจะชะงักและหยุดคิดก่อนจะควักกระเป๋าออกมาซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง (ทั้งนี้ต้องไม่รวมการนำเงินในอนาคตมาใช้นะครับ) และเราอาจจะเลื่อนการตัดสินใจซื้อออกไปเป็นเดือนหน้าหรือหลายเดือนข้างหน้าหรือตัดใจไม่ซื้อเลยก็ได้ และถ้าคนหลายๆ คนในสังคมมีพฤติกรรมดังกล่าวคล้ายๆ กันจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การขาดความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนไม่มีความมั่นใจและไม่กล้าใช้จ่ายในสินค้ามูลค่าสูงๆ เช่น บ้าน อสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์ เป็นต้น หรือแม้แต่ลดการบริโภคอุปโภคลง ทำให้บริษัท ห้างร้าน หรือสหกรณ์ร้านค้าขายสินค้าได้น้อยลง เมื่อการผลิตและการบริโภคลดลงในระยะเวลานานพอสมควร ก็มีโอกาสเกิดภาวะเงินฝืด * ได้ครับ ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน เมื่อนักลงทุนไม่มั่นใจจึงอาจจะชะลอหรือยกเลิกการลงทุนส่งผลให้การจ้างงานและการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจมีปัญหาได้ครับ ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้คนมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจก็จะกล้าใช้จ่าย กล้าบริโภค นักลงทุนจึงกล้าที่จะลงทุนทำให้เกิดการจ้างงาน การผลิตสินค้าและบริการ กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินต่อไปและมีการหมุนเวียนของเงินในระบบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงที่ผมได้นำเสนอไปนั้น คงพอจะทำให้ท่านมองเห็นภาพกว้างๆ ได้ใช่ไหมครับว่าเพียงแค่ความเชื่อมั่นอย่างเดียวส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญได้ทั้งด้านบวกและด้านลบต่อภาคสหกรณ์และระบบเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากปัจจัยทุกอย่างเชื่อมโยงและส่งผลต่อกันเหมือนลูกโซ่ ความเชื่อมั่นสามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตหรือถดถอยได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือความเชื่อมั่นที่ว่านั้นต้องมิใช่ความเชื่อมั่นที่เกิดจากการปลุกปั่นหรือสร้างขึ้นมาเองแต่ต้องเป็นความเชื่อมั่นที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงและมีความเป็นไปได้ครับ. |