จีระศักดิ์ อุราสาย
ปี 2554 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป มีเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นซึ่งล้วนแต่สร้างความเสียหายและผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประเทศของเรา แน่นอนครับกับเหตุการณ์ที่คนไทยทุกคนจำได้ไม่ลืมก็คือเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี นั่นเอง หลายท่านสงสัยว่าในรอบปี 2554 ที่ผ่านไปนั้น เศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างไร แค่เบาๆ หรือแรงจนถึงขั้นซวนเซ ผมจึงขอนำเสนอผลการดำเนินงานธุรกิจภาคสหกรณ์ไทยในรอบปี 2554 เพื่อสะท้อนภาพความเป็นไปตลอดจนพัฒนาการจากอดีตสู่ปัจจุบัน พร้อมกับ (ขอบังอาจให้) ข้อเสนอแนะ ดังนี้ครับ
ภาคสหกรณ์ไทยทั้งประเทศรวม 10,522 แห่ง ประกอบไปด้วย 3 กลุ่มใหญ่ คือ สหกรณ์ภาคการเกษตร สหกรณ์นอกภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกรมีสมาชิกรวมกันกว่า 11.34 ล้านคน (สมาชิก55.59 % อยู่ในภาคการเกษตร) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 17.20 ของประชากรไทยทั้งประเทศ ดำเนินกิจการภายใต้ทุนดำเนินงานรวม 1.54 ล้านล้านบาท บริหารจัดการ 5 ธุรกิจหลัก สร้างมูลค่าธุรกิจได้รวม 1.71 ล้านล้านบาท (สหกรณ์นอกภาคการเกษตรมากที่สุดคิดเป็น 82.70 % ของมูลค่าธุรกิจรวม) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 14.77 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ(GDP) โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมุ่งเน้นธุรกิจการให้สินเชื่อมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 70.72 ของมูลค่าธุรกิจรวม ในขณะที่สหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกรจะเน้นธุรกิจรวบรวมผลิตผล/แปรรูปมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 38.30 ในด้านผลตอบแทนของการจัดการธุรกิจพบว่า สามารถสร้างกำไรสุทธิได้ทุกกลุ่มโดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรทำกำไรได้มากที่สุดคิดเป็น 90.85 % ของยอดกำไรรวมทั้งระบบ สมาชิกสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีหนี้เฉลี่ยต่อคนคิดเป็น 1.05 เท่าของเงินออมเฉลี่ยต่อคน ขณะที่สมาชิกสหกรณ์ภาคการเกษตรและกลุ่มเกษตรกรเท่ากับ 1.33 เท่า และ 2.58 เท่า ตามลำดับ โดยรวมแล้วนับว่าเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยปี 2554 มีพัฒนาการที่ดีพอสมควรสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ และสร้างกำไรสุทธิได้ทุกกลุ่ม แต่สิ่งที่ต้องระวังคือการที่สมาชิกสหกรณ์มีเงินออมต่ำกว่าหนี้สิน จึงอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของสมาชิกเองได้ สำหรับเรื่องต่อไปคือการควบคุมภายในส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี-ดีมาก ร้อยละ 76.24 คาดการณ์ว่าแนวโน้มในปี 2555 ธุรกิจภาคสหกรณ์จะยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยดีอย่างต่อเนื่องจากปี 2554 โดยมูลค่าธุรกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.03 คิดเป็นมูลค่า 1.98 ล้านล้านบาท พร้อมแนะนำให้สมาชิกใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงยึดหลักพึ่งพาตนเอง ขยัน ออม พอเพียง อยู่ในความไม่ประมาท มีวินัยทางการเงินตลอดจนทำบัญชีรับจ่ายครัวเรือนอย่างสม่ำเสมอ
สหกรณ์ภาคการเกษตร จำนวน 3,639 แห่ง ประกอบไปด้วย 3 ประเภทสหกรณ์ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์ประมง สหกรณ์นิคม ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 6.31 ล้านคน โดยสหกรณ์การเกษตรมีสมาชิกมากที่สุดคิดเป็น 96.91 % ของสมาชิกทั้งหมด หรือคิดเป็นร้อยละ 9.57 ของประชากรทั้งประเทศ (65.9 ล้านคน) ดำเนินกิจการภายใต้ทุนดำเนินการ 154,575 ล้านบาท บริหารจัดการ 5 ธุรกิจหลัก สร้างมูลค่าธุรกิจ 284,474 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2553 คิดเป็นร้อยละ 10.18 โดยสหกรณ์การเกษตรสร้างมูลค่ามากที่สุดเท่ากับ 90.04% ของมูลค่าธุรกิจรวมและคิดเป็นร้อยละ 16.73 ของมูลค่าธุรกิจภาคสหกรณ์ไทยทั้งประเทศ สหกรณ์ภาคการเกษตรสามารถสร้างกำไรสุทธิได้ทุกประเภทสหกรณ์ โดยสหกรณ์การเกษตรทำกำไรได้สูงสุดคิดเป็น 95.26%ของกำไรรวมของภาคการเกษตร อย่างไรก็ตามพบว่าสหกรณ์ภาคการเกษตรมีอัตราค่าใช้จ่ายรวมต่อรายได้รวมค่อนข้างสูงเกินกว่าร้อยละ 90 ขึ้นไปทุกสหกรณ์ โดยสหกรณ์นิคมมีค่าสูงสุดเท่ากับ 97.87 % ในด้านเงินออมและหนี้สินพบว่า สมาชิกมีหนี้สินคิดเป็น 1.23 เท่าของเงินออม ซึ่งสหกรณ์การเกษตรมีสัดส่วนมากที่สุดเท่ากับ 1.38 เท่า สำหรับในด้านการควบคุมภายในพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับดีถึงดีมากร้อยละ 76.56 โดยสหกรณ์นิคมมีจำนวนมากที่สุดเท่ากับ 84.80 % สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจสหกรณ์ภาคการเกษตรในปี 2555 คาดว่าธุรกิจสหกรณ์จะยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยดีอย่างต่อเนื่องจากปี 2554 โดยมูลค่าธุรกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.26 คิดเป็นมูลค่า 327,328 ล้านบาท
สหกรณ์ไทยนอกภาคการเกษตร จำนวน 2,805 แห่ง ประกอบไปด้วยสหกรณ์ 4 ประเภท ด้วยจำนวนสมาชิก 4.42 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 39.12 ของภาคสหกรณ์ทุกประเภท ในจำนวนนี้ประกอบด้วยสหกรณ์ออมทรัพย์มากที่สุดคิดเป็น 60.63 % สหกรณ์นอกภาคการเกษตรดำเนินกิจการภายใต้ทุนดำเนินการ 1.38 ล้านล้านบาท บริหารจัดการ 5 ธุรกิจหลัก สร้างมูลค่าธุรกิจได้ 1.42 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 83.04 ของมูลค่าธุรกิจภาคสหกรณ์ไทยทั้งประเทศ ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นสหกรณ์ออมทรัพย์สูงที่สุดคิดเป็น 90.63 % ของมูลค่าธุรกิจรวม โดยสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนจะมุ่งเน้นธุรกิจให้สินเชื่อมากที่สุด ส่วนสหกรณ์ร้านค้า มุ่งเน้นบริหารจัดการธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่ายมากที่สุด และสหกรณ์บริการเน้นการจัดการรวบรวมผลิตผล/แปรรูปมากที่สุด สำหรับในด้านผลตอบแทนจากการจัดการธุรกิจพบว่าสามารถสร้างกำไรสุทธิได้ทุกประเภทสหกรณ์ โดยสหกรณ์ออมทรัพย์ทำกำไรสูงสุดเท่ากับ 96.70 % ของกำไรสุทธิรวม โดยเฉลี่ยแล้วสมาชิกมีหนี้สินคิดเป็น 1.05 เท่าของเงินออม และสหกรณ์ร้านค้ามีค่าสูงสุดเท่ากับ 1.63 เท่า สำหรับการควบคุมภายในพบว่าอยู่ในระดับดีถึงดีมากคิดเป็นร้อยละ 79.92 สหกรณ์ออมทรัพย์สูงสุดเท่ากับ 95.30 % สำหรับแนวโน้มในปี 2555 คาดว่าธุรกิจสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีแนวโน้มเสถียรภาพที่มั่นคงและเติบโตจากปี 2554 โดยคาดว่าธุรกิจจะขยายตัวร้อยละ 16.71 คิดเป็นมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท
สำหรับพืชเศรษฐกิจและพืชพลังงานสำคัญของภาคสหกรณ์ไทย ในปี 2554 มีพืชหลายชนิดที่แนวโน้มค่อนข้างดีได้แก่ 1) ยางพารา มีมูลค่าการรวบรวม 75,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 เท่ากับ 1.11 เท่า 2) ข้าวเปลือกมูลค่าการรวบรวม 12,416 ล้านบาท ลดลงจากปี 2553 ร้อยละ 33.34 และ 3) ข้าวโพด มีมูลค่าการรวบรวม 4,362 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ร้อยละ 59.72 นอกจากนี้ภาคสหกรณ์ไทยยังมีพืชสำคัญอีกหลายชนิดที่เป็นสินค้าจำเป็นและตลาดต้องการค่อนข้างสูง อาทิ ปาล์มน้ำมัน อ้อย ผลไม้ตามฤดูกาล กล้วยหอมและ กาแฟ เป็นต้น
การเตือนภัยทางการเงินสำคัญ 3 ด้าน และ 4 ระดับการเฝ้าระวังทางการเงินภาคสหกรณ์ไทย ผลการวิเคราะห์พบว่า มีลูกหนี้ที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดอยู่ในเกณฑ์ดี - พอใช้ คิดเป็นร้อยละ 68.03 และมีระดับต้องปรับปรุงมีเพียงร้อยละ 31.97 ซึ่งภาคการเกษตรมีมากที่สุดเท่ากับ 1,040 แห่ง สำหรับในเรื่องค่าใช้จ่าย พบว่าอัตราค่าใช้จ่ายต่อกำไรอยู่ในเกณฑ์ดี -พอใช้ เกินครึ่งคือร้อยละ 61.72 ส่วนที่ต่ำกว่าเกณฑ์มีเพียงร้อยละ 38.28 กลุ่มเกษตรกรมากสุด 1,495 แห่ง สำหรับในด้านทุนสำรองนั้นพบว่ามีทุนสำรองต่อสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดี - พอใช้ คิดเป็นร้อยละ 40.83 ส่วนที่ต่ำกว่าเกณฑ์มีค่อนข้างสูงถึงร้อยละ 59.17 ในจำนวนนี้ประกอบด้วยภาคการเกษตรมากที่สุดเท่ากับ 2,309 แห่ง ส่งผลให้มีระดับการเฝ้าระวังทางการเงินเป็นพิเศษเร่งด่วนถึง 897 แห่ง ซึ่งอยู่ในภาคการเกษตรมากที่สุด 555 แห่ง
บทสรุป ภาวะเศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยในรอบปี 2554 นี้ พบว่าแม้จะเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้นตลอดจนมหาอุทกภัยและปัจจัยแทรกซ้อนที่ควบคุมไม่ได้จากต่างประเทศแต่โดยรวมแล้วทั้งภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตรมีผลประกอบการค่อนข้างดี ทั้งในด้านการบริหารจัดการธุรกิจหรือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ รวมทั้งมีความสามารถในการทำกำไรสุทธิได้ทุกกลุ่ม ในด้านการควบคุมภายในพบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับค่อนข้างดีถึงดีมาก แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือสมาชิกสหกรณ์โดยรวมมีเงินออมเฉลี่ยต่ำกว่าหนี้สินเฉลี่ย จึงสมควรให้สมาชิกมีการตระหนักถึงความสำคัญในการออมให้มากขึ้น ในปีนี้ รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลายทางซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาคสหกรณ์ไทยหากมีการกำหนดนโยบายกลยุทธ์การบริหารจัดการและการลงทุนให้เหมาะสมจะทำให้เศรษฐกิจภาคสหกรณ์ไทยเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนมากขึ้น |